พ่อนก - พ่อนก นิยาย พ่อนก : Dek-D.com - Writer

    พ่อนก

    ในยามท้องฟ้ามันครึ้ม ก็มีแม่นก พ่อนก ลูกนก ๔ ตัว จะบินกลับบ้านเพราะรู้ว่าฝนฟ้าจะตก มันก็รีบกลับบ้านเพราะรู้ว่าไม่ปลอดภัย ในระหว่างที่บินอยู่นั้นเอง ก็มีลมหมุนมาพัดทำให้ทั้งพ่อนก แม่นก ลูกนกพลัดหลงกัน

    ผู้เข้าชมรวม

    221

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    221

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ผจญภัย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 เม.ย. 53 / 09:50 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ในยามท้องฟ้ามันครึ้ม ก็มีแม่นก พ่อนก ลูกนกอีก ๔ ตัว มันจะบินกลับบ้านเพราะรู้ว่าฝนฟ้าจะตก มันก็รีบกลับบ้านเพราะรู้ว่าไม่ปลอดภัย ในระหว่างที่บินอยู่นั้นเอง ก็มีลมหมุนมาพัดทำให้ทั้งพ่อนก แม่นก ลูกนกพลัดหลงกันไปคนละทาง ลูกบินกลับบ้านไม่ถูกเพราะไม่รู้ทาง ต้องให้พ่อแม่นำไป แม่อยากจะบินกลับบ้าน ก็ไปไม่ได้เพราะห่วงลูก ก็ต้องบินเที่ยวหาลูก ส่วนพ่ออยากจะบินกลับบ้าน ก็บินไปไม่ได้เพราะต้องห่วง บินเที่ยวหาเมียหาลูก แสดงว่าแม่นี่ลำเอียง แม่เอาแต่ลูก ส่วนพ่อเอาทั้งแม่ทั้งลูก พ่อรักมากกว่าใคร ใช่มั้ย ทีนี้ลูก ๔ ตัวก็กระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม่มีใครเจอกันเมื่อฟ้าเริ่มสงบ ลูกต่างคนต่างก็กระเด็นไปอยู่คนละทิศละทาง ต่างคนก็ต่างไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ กัน ชีวิตแต่ละชีวิตที่เคยอยู่ด้วยกันนั้นมันเหมือนกับเริ่มต้นใหม่ ในตอนต้นนั้น ทั้งพ่อและแม่ต่างคนก็ต่างอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ต่อมาก็มาผูกสมัครรักใคร่ มาเป็นสามีภรรยากัน แล้วก็สร้างรังอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีลูกน้อยออกมา ๔ ตัว แล้วก็เตรียมอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน ก่อนจะมีลูก แม่ก็เตรียมกกไข่ พ่อก็คอยเตรียมหาอาหารมาให้ภรรยา แต่คนท้องก็หงุดหงิด นกท้องก็หงุดหงิดเหมือนกัน พ่อก็ต้องคอยเอาใจ หาเกสรดอกไม้หอม ๆ มาฝากภรรยาคอยเอาใจ ภรรยาก็ยิ้มหวานคอยดูแลลูก และก็ผลัดกันออกไปหาอาหารให้อีกฝ่ายเฝ้าลูก ต่างคนก็ต่างสามัคคีกัน จนลูกฝึกบินได้ เที่ยวบินออกไปจนโต
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ทีนี้ก็มาวันหนึ่ง ก็ต้องพลัดพรากจากกันเหมือนเริ่มต้นใหม่ ผู้เป็นพ่อก็อยู่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียว ผู้เป็นแม่ก็อยู่ที่หนึ่ง อยู่คนเดียว ผู้เป็นลูกก็อยู่คนเดียว เกิดมาคนเดียว ท่องเที่ยวไป ทีนี้นก ๔ ตัวสาบานกันไว้ว่า เราจะตายพร้อมกันในสมัยเป็นมนุษย์ แต่พ่อกับแม่ไม่ได้สาบานกันไว้ ผู้เป็นพ่อก็เที่ยวตามหาแม่กับลูก ผู้เป็นแม่ก็เที่ยวตามหาลูก แต่หาไป ๆ ก็ท้อ ท้อนักก็เลยหาผัวใหม่ ไปเจอนกเพศชายเข้าก็เลย เอาเถอะวะอย่าไปหาลูกหาเต้าอะไรอยู่เลย หาสามีใหม่หาลูกใหม่เถอะวะ ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นไม่หาเมียใหม่ เที่ยวหาแต่ลูกแต่เมีย บินตั้งแต่ปีกยังอ่อน ๆ จนปีกแข็ง จนขนผิวที่เคยมีสีสัน ที่มีขนเงางาม กลับแข็งกระด้างลงทุกวัน บินมันอยู่อย่างนั้น เที่ยวหาไป ตั้งใจจดใจจ่อ เที่ยวจะหาลูกหาภรรยาไป ส่วนผู้เป็นลูกทั้ง ๔ ก็มีอยู่ทางเดียว ก็คือต้องเอาตัวให้รอด เพราะว่ายังเล็กนัก ปีกเค้ายังไม่แข็งพอที่จะบินไปได้ไกล ๆ และสัตว์ร้ายมันก็มีอยู่เยอะ ศัตรูที่ไม่รู้จักก็มาก ต่างคนก็ต่างต้องพยายามเอาตัวรอด แต่ว่าบุญที่เค้าทำมาหนะมันมี เพราะเค้าไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาตอะไร บุญเค้าก็ยังมี ไปที่ไหนก็รอดพ้นอันตรายไปได้ เจ้าลูกนกทั้งสี่ตัวนี้ มีข้อรัดวงแหวนที่ขาเป็นสัญลักษณ์ ที่พ่อนกจะจำได้ทันทีหากเจอลูก ลูกตัวหนึ่งบินไปอยู่ในถ้ำที่มีพญานกแฝกอยู่ อีกตัวนึงบินไปอยู่ในที่ที่เป็นโพรงไม้ ที่มีพญาอินทรีย์อยู่ อีกตัวบินไปอยู่ในป่าที่มีใบไม้หนาทึบ ก็ไปเจอนกเค้าอยู่ อีกตัวนึงไปตกอยู่บนพื้นดินที่มีพญาเต่าอยู่ ทั้งสี่ตัวก็ใช้ชีวิตอยู่กับสัตว์เหล่า ๆ นี้ ไม่มีใครทำร้ายเค้า เพราะว่าเค้าไม่เคยทำร้ายใคร เค้าก็เลยอยู่กับสัตว์ต่างเผ่าพันธุ์ได้ สัตว์ต่าง ๆ ก็เอ็นดู คอยช่วยเหลือดูแลเค้า ก็เลยอยู่กับพวกเค้าไป เพราะหมดทางที่จะบินไปหาใครได้ 


      แต่ผู้เป็นพ่อนั้นไม่เคยละวาง เที่ยวบินหาไปตลอดเวลา ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน นอนก็นอนแป๊บเดียว เที่ยวบินไปซ้ายขวาหน้าหลัง ปากก็ร้องหา ภรรยาของเราอยู่ที่ไหนหนอ ลูกของเราอยู่ที่ไหนหนอ ทำอยู่อย่างนี้ เพียรทำอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า ไม่เคยห่วงใยอาลัยในสังขาร ไม่สนใจอาหาร ไม่สนใจการหลับการนอน สนใจแต่เพียงว่าลูกของเราอยู่ที่ไหน ภรรยาของเราอยู่ที่ไหน เค้าจะมีสุขทุกข์อย่างไร เค้าจะเป็นอยู่อย่างไร แต่รู้ว่าทั้ง ๕ จะยังไม่ตายแน่ ยังไงก็ไม่ตายแน่ เค้าเชื่อว่าเค้าจะยังได้พบ จนวันหนึ่ง เค้าไปพบภรรยาของเค้า เค้าดีใจนะที่ได้พบ แต่เค้าก็ยั้งใจที่จะไม่เข้าไปใกล้ เพราะเค้ารู้ว่าภรรยาของเค้ากำลังมีความสุข เค้าจึงคลายใจว่า เราไม่ห่วงอีกแล้ว เราไปหาลูกของเราเถอะ เรายังไม่รู้ว่าลูกของเราเป็นอย่างไร เค้าก็บินไปตามหาลูกต่อไป ปีแล้วปีเล่าก็บินไป 


      ทีนี้ว่าจู่ ๆ มันก็มีลมแรง ๆ มาจากทิศไหนก็ไม่รู้ พัดเค้าบินมาตก ปรากฏว่าเค้าได้เจอกับลูกคนแรกของเค้าที่อยู่กับเต่า เค้าจำได้ ลูกก็จำได้ว่าคือพ่อ เค้าก็ดีใจ แล้วก็ถามทุกข์สุขกันไป เจอแม่มั้ย พ่อก็นิ่ง ไม่พูดอะไร กลัวลูกเสียใจ ขืนบอกว่าเจอแม่มีผัวใหม่ ลูกก็จะเศร้าใจ ก็ไม่พูดอะไร บอกว่ายังไม่เจอเลยลูกเอ๊ย แต่เชื่อว่าแม่เค้าคงมีความสุข อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วล่ะ ไปตามน้อง ๆ กันเถอะ แล้วก็ไปกันสองตัว ต่างคนก็ต่างบินไป ก็เที่ยวหาไป ผู้เป็นลูกก็ไม่ได้มีความตั้งใจอย่างพ่อ ก็บินไปอย่างนั้น ความอดทนก็ย่อมน้อยกว่า ผู้เป็นพ่อก็ต้องคอยประคับประคองความคิดของลูกไปตลอด ”พ่อ เหนื่อยแล้ว พ่อ หิวแล้ว กินก่อนเถอะนะพ่อ หยุดซะทีเถอะ พ่อเหนื่อยแล้ว พักก่อนเถอะนะ” อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ผู้เป็นพ่อรู้ว่า ลูกของตนมีความเข้มแข็งอยู่น้อย ความตั้งใจมั่นยังไม่เหมือนเค้า แต่เค้าก็เชื่ออยู่ว่า ลูกเรายังต้องการพบพี่พบน้อง แต่ในความอดทนของเค้ายังมีน้อย ก็ได้แต่พูดให้กำลังใจว่า ลูกนะ เรามีกันแค่นี้นะ คนอื่นหนะเค้าก็ไม่ใช่เป็นพี่น้องกับเรา เค้าจะมายินดีอะไรกับเรา ถ้าเราตามเค้าไม่พบก็ถือว่ามันสุดวิสัย แต่ในเมื่อเรายังไม่ตาย เรายังมีปีก ๒ ข้างบินไปได้ วันหนึ่งก็ต้องหาเค้าเจออย่างที่พ่อมาเจอลูกไง พ่อก็พยายามเข็น รู้ไหม ทำไมเค้าเอาลูกไปด้วย ที่เค้าพูดกับสิ่งที่เค้าคิดหนะ มันไม่เหมือนกัน ที่เค้าพูดหนะ เค้าพูดตามกำลังใจของลูก แต่ที่เค้าคิดหนะ คือเค้าต้องการสอนลูกให้มีความเพียร และตั้งใจอดทน ทำอะไรก็มั่นคง ไม่ใช่มีความต้องการปรารถนาจะเจอลูกอย่างเดียว แต่ว่าในการลงมือทำ มันไม่ได้ทำได้เหมือนที่ใจอยากจะเจอ นี่คือเจตนาของพ่อนะ ไม่ใช่เจตนาที่อยากให้ลูกได้มาพบกันเหมือนที่พูดกับลูกไป พ่อตั้งใจอย่างนั้น ก็พยายามเลี้ยงกำลังใจ อดทน อดทน ลูกก็ป้อแป้ ป้อแป้ กำลังใจไม่เท่าพ่อ ไปเดาะแดะ ๆ คือมันไปมั่ง ไม่อยากจะไปมั่ง คือมันไม่อยากจะไปน่ะ มันไกล มันไม่มีทิศมีทาง มันลำบาก ใจก็คิดถึงลุงเต่า ๆ ห่วงลุงเต่า ”พ่อ ลุงเต่าจะอยู่ยังไง ท่านอุปการะหนูมานะ” ผู้เป็นพ่อก็คิดว่าลูกของเราคงกำลังใจแค่นี้ เราอย่าฝืนใจเลย ก็เลยบอกกับลูกว่า ได้ลูก เดี๋ยวพ่อไปส่ง ผู้เป็นพ่อก็บินไปส่ง บินกลับไปอีกเป็นเดือนนะไปส่ง เดี๋ยวเมื่อไหร่พ่อเจอน้อง ๆ แล้วจะพามาหาหนูนะ


      แล้วพ่อก็บินไป ๆ เรื่อย ๆ แล้วก็มีลมแรง ๆ วูบหนึ่งพัดเข้ามาอีก เค้าก็พุ่งหลาวลงไป ก็ไปเจอเอาต้นไม้ใหญ่ ๆ แล้วก็ไปเจอเอาลูกอีกตัวหนึ่ง ที่อยู่กับพญานก ลูกก็จำพ่อได้ พ่อก็ชวนเหมือนที่ชวนลูกคนโตว่า ”ไปนะ ไปหาพี่กัน พ่อรู้ว่าพี่ชายหนูอยู่ไหน พ่อเจอพี่เค้าแล้ว” เค้าก็ไป ตามพ่อไปหาพี่ชาย แต่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นก็บอก ”ไม่เอาแล้วพ่อ มันเหนื่อย ไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรกิน อยู่ที่นี่สบายเหลือเกิน ลุง ๆ น้า ๆ ให้อาหารการกินสบายเหลือเกิน แล้วหนูก็มีเพื่อน ๆ เยอะด้วย ไปหาพี่ มีก็มีแต่พี่คนเดียว” เอ้า พ่อก็ไปส่งกลับ บินกลับไปอีก


      ลูกทั้งสี่ตัวก็ไม่มีตัวไหนยินดี ไม่มีความยินดี ไม่มีความตั้งใจเหมือนอย่างผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นพ่อก็พบสัจธรรมความเป็นจริง ก็บินถลาออกจากนอกพื้นที่ บินไปอย่างไม่มีทิศทาง ตั้งใจว่าเราจะพาตัวเราไปด้วย กำลังแห่งปีก สัจธรรมนี้คือความจริง เราได้พบแล้วว่า เราไม่อาจจะเอากำลังใจของเรา ไปให้คนอื่นเป็นได้อย่างเรา เขาคือเขา เราคือเรา เราคือตัวเรา เขาคือตัวเขา ถึงจะเอาความรักเข้าไป เค้าก็ไม่อาจทำกำลังใจ ได้เหมือนอย่างที่เรามีกำลังใจ ไม่มีสิ่งใด ๆ จะทำให้ใจดวงอื่นจะทำได้เยี่ยงอย่างเรา นอกจากตัวของเค้าเองมีความปรารถนาด้วยตัวเอง ในระหว่างที่เค้าบินไปนั้น เค้าก็ถือตั้งสัจจะวาจาว่า ในสัจจะแห่งเราผู้มีความเพียรอันแน่วแน่ว่า ด้วยความเพียรอันแน่วแน่ของเรานี้ ขอเราจงได้พบกับที่ที่เราคุ้นเคยเถิด ขอให้ปีกของเราจงมีกำลังเข้มแข็ง บินจากนี้ไปโดยไม่รู้จักเหน็ดหนื่อย เค้าก็บินไป บินไปโดยที่ไม่มีการพักผ่อน แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลย


      จนล่วงเวลาไป ๑๐ ปี เค้าก็ยังบินไม่หยุดจนไปถึงที่ที่หนึ่ง ที่เป็นเกาะร้าง ไม่มีมนุษย์อยู่ เค้าก็บินไป ใจก็คิดว่าอยากจะไปอยู่ตรงนั้น แล้วก็พุ่งตัวไป ที่นั่นไม่มีสัตว์ แต่มีรุกขเทวดาอยู่หลายองค์ พอไปอยู่ที่นั่นปั๊บ เค้าก็รำพึงรำพันอยู่ในใจของเค้า หวนคิดถึงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองตั้งแต่ต้นมา เค้าเป็นผู้เดียวคนเดียว แล้วเค้าก็บินอยู่คนเดียว พลัดพรากจากผู้เป็นที่รักอยู่ผู้เดียว จากนกที่เป็นคู่ของเค้า นกก็รำพึงรำพันอยู่ในใจของเค้า ไม่ได้พูดอะไรออกมาหรอก เพียงแต่ใช้จิตรำพึงรำพัน แต่รุกขเทวดานั้นมีความเป็นทิพย์ ล่วงรู้ว่านกนั้นคิดอะไร เค้าคิดคำนึงตั้งแต่เริ่มต้น ท่ามกลางและที่ สุด สุดท้ายก็มีเพียงเราแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่ทำมาทั้งหมด ได้แก่เราแต่เพียงผู้เดียว ความเข้าใจหรือกำลังใจที่เรามีความเพียรแก่กล้า ก็มีแก่เราเพียงผู้เดียว ความอดทนก็ได้แต่เราเพียงผู้เดียว ไม่ได้แก่ใคร เค้าจึงพูดได้ว่าเป็นสัจธรรมที่ถูกต้องแล้วหนอ เค้าก็พูดดัง ๆ ออกมาว่านี่คือสัจธรรมความจริงที่ปรากฎแก่เราแล้ว รุกขเทวดาก็สาธุ สาธุในธรรม


      พอสาธุปั๊บ นกก็เอ๊ะใจ ก็แว้บหันไปดูว่าใคร ก็เห็นรุกขเทวดา
      นกก็เลยพูดถามในใจว่า “ท่านผู้เจริญท่านสาธุอะไร ท่านดีใจเรื่องอะไร”
      รุกขเทวดาที่เป็นผู้ใหญ่ในที่นั้น ก็บอกว่า “เราสาธุที่ท่านเห็นความจริง”
      นกก็เลยเอ่ยถามว่า “แล้วท่านไม่เคยเห็นความจริงเช่นนี้รึ”
      รุกขเทวดาก็ตอบว่า “เรายังไม่เคยเห็นความจริงเช่นนี้เลย เรายังไม่เคยเห็นใครกล้าพูดคำนี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้เลย”
      นกก็เลยถามว่า “แล้วท่านพอใจสัจธรรมข้อไหนล่ะ”
      แล้วรุกขเทวดาก็ตอบว่า “เราพอใจในความเพียรของท่าน”
      อีกองค์ก็บอกว่า “เราพอใจในความรักของท่าน”
      อีกองค์ก็บอกว่า “เราพอใจในความอดทนของท่าน”
      อีกองค์ก็บอกว่า “เราพอใจในความปรารถนาของท่าน”
      นกก็เลยบอกว่า “ทำไมท่านจึงมีความพอใจแตกต่างกัน”
      รุกขเทวดาก็บอกว่า “เราเห็นคุณค่าของความรัก”
      อีกองค์บอก “เราเห็นคุณค่าของความเพียรเป็นยิ่ง”
      อีกองค์บอกว่า “เราเห็นคุณค่าในความอดทน”
      นกก็เลยพูดกลับไปว่า “ท่าน ผู้เจริญ สิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นเพราะการพรรณนาความดีเท่านั้นนะ มันต้องเกิดจากการที่ได้กระทำด้วยหัวใจแท้ ๆ จึงจะได้รับถึงความรู้สึกอิ่มเอิบเช่นเรา”
      แล้วรุกขเทวดาก็ยกมือสาธุ ๆ นกก็คิดว่าเราจะอยู่ในร่างของนกไปได้อีกนานแค่ไหนก็ช่างเถอะ แต่ ณ เวลานี้เราพอใจแล้ว มันดื่มด่ำในสมาธิที่เกิดจากธรรมที่เกิดขึ้นกับเรา เรียกว่า ทรงอยู่ในโพชฌงค์ ๗ ประการ นกนะ อย่าดูถูกนกนะ นกนี่ทรงโพชฌงค์เลยนะ มีอะไรบ้างรู้มั้ย?



      โพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการเหล่านี้คือ

      1. สติ ความระลึกได้
      2. ธรรมวิจยะ ความใคร่ครวญในธรรม
      3. วิริยะ ความเพียร
      4. ปิติ ความอิ่มใจ
      5. ปัสสัทธิ ความสงบ
      6. สมาธิ ความตั้งมั่น และ
      7. อุเบกขา ความวางเฉย

      นกเค้าก็ทรงอยู่ในโพชฌงค์ ๗ ประการ เป็นสมาธิจนถึงอุเบกขา ตั้งอยู่ในฌาณ ๔ ทรงตัว สิ่งที่ทำให้เค้าเกิดความอิ่มใจ สติเค้าคำนึงอยู่แต่ในสัจธรรมที่เค้าได้พบ สองคือใคร่ครวญในธรรม แล้วเกิดความปิติชุ่มชื่นใจอิ่มเอิบ พอเกิดความชุ่มชื่นใจอิ่มเอิบแล้ว ปัสสัทธิก็เกิด พอมันสงบปุ๊บ ก็เกิดกลายเป็นสมาธิ พอเข้าสู่สมาธิปุ๊บ ก็เกิดการวางเฉยทุกอย่าง นิ่ง แยกกายแยกจิต พอเข้าสู่อุเบกขาธรรมปั๊บ ทรงเข้าสู่ฌาณ ๔ ละเอียดปุ๊บ จิตก็ไม่ถอนมานับแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นอันว่าร่างนั้นจิตนั้น ก็แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง พอมาคลายสมาธิอีกที ก็อยู่ที่พรหมแล้ว

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×